สรุป 5 อันดับลิงค์สุดอันตรายบน facebook ที่คุณต้องระวัง !!

top5-facebook-scam-01

เว็บไซต์ CheetahMobile บริษัทที่ให้บริการด้านรักษาความปลอดภัยบนสมาร์ทโฟน Android ที่พัฒนาแอพ Clean Master แอพรักษาแบต Battery Doctor และแอพ Antivirus บนมือถือ ชื่อ  “CM Security” ได้เผยข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับ 5 อันดับลิงค์สุดอันตรายบน facebook ในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ลองมาดูกันว่ามีลิงค์ไหนบ้าง เชื่อว่าพอชมแล้ว คุณอาจเคยเห็นเคยเจออย่างแน่นอนtop5-facebook-scam-02

5 อันดับลิงค์อันตรายที่ถูกพบมากที่สุดในช่วงเดือนสิงหาคม 2014

  • อันดับ 1 ICE BUCKET CHALLENGE SCAM
  • อันดับ 2 Robin William’ s Goodbyes Video
  • อันดับ 3 Sylvester Stallone Death Hoax
  • อันดับ 4 Facebook Color scam
  • อันดับ 5 Fake Free Gift Card Campaign

top5-facebook-scam-03

โดยเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มี link อันตรายปรากฎ ทุกๆ 2 วัน และมีผู้หลงคลิกติดเป็นเหยื่อลิงค์อันตรายมากกว่า   100 ล้านราย  โดยส่วนใหญ่จะพบผ่านทาง Facebook  รองลงมาคือ twitter

top5-facebook-scam-04

ซึ่งเป้าหมายของลิงค์อันตรายที่แฮกเกอร์สร้างขึ้นนี้ ส่วนใหญ่จะเน้นแฮกข้อมูล Payment เช่น พวกรหัสบัตรเครดิตและบริการ e-banking ผ่านทางอินเทอร์เน็ต เพื่อหวังขโมยเงินผ่านทางออนไลน์นั่นเอง   ส่วนอันดับ 2 คือข้อมูลบริษัท และอันดับ 3 หวังแฮกผู้ใช้ Social Network

top5-facebook-scam-05

ไม่ใช่แค่ลิงค์ปลอม  Hacker ก็ยังสร้างแอพ Third Party เกี่ยวกับ Social Network ปลอมด้วย โดยแอพ Social Network ปลอมที่แฮกเกอร์นิยมสร้าง คือ Facebook  , WhatsApp , Twitter

top5-facebook-scam-06

ซึ่งหากคุณติดตั้งแอพปลอมจะเกิดอันตรายบนมือถือคุณ เช่น

  • เสียตังค์ SMS โดยไม่รู้ตัว
  • คนร้ายควบคุมบังคับมือถือของคุณผ่านทางระยะไกลได้
  • ติดตั้ง Hijack หวังขโมยรหัสสำคัญเช่น ดักรหัสข้อมูลเกี่ยวกับ เงิน และธนาคารออนไลน์ที่คุณใช้บริการ เพื่อหวังขโมยเงินทางออนไลน์
  • เครื่องติดไวรัส มัลแวร์ และหวังแพร่กระจายต่อเพื่อนๆ
  • ขโมยรูป และไฟล์ส่วนตัวที่สำคัญ
  • ยัดเยียดส่งโฆษณาที่เราไม่ต้องการ  ปรากฎบนมือถือ

ดังนั้น วิธีป้องกันไม่ให้ภัยจากลิงค์อันตราย หรือแอพอันตรายมาสู่คุณ นั่นคือ

  1. ควรแชร์ลิงค์เนื้อหาที่ไม่ใช่ลิงค์อันตราย ปลอดภัย ให้กับคนอื่นๆ  หากพบลิงค์อันตราย ก็อย่าคลิกเป็นอันขาด
  2. เลือกเว็บเบราวเซอร์ที่ป้องกันและตรวจสอบ Phishing ได้ และหมั่นอัพเดต เบราวเซอร์ให้เป็นเวอร์ชั่นใหม่อย่างสม่ำเสมอ
  3. ตั้งรหัสผ่านซับซ้อน ที่เราจำได้ง่าย คนร้ายเดารหัสยาก
  4. ดาวน์โหลดแอพจากร้านค้าทางการของระบบปฏิบัติการนั้นๆเช่น  Play Store , App Store โดยลองสังเกตแอพนี้ผลิตโดยบริษัทนักพัฒนารายไหนด้วย
  5. ควรติดตั้ง AntiVirus บนมือถือที่เชื่อถือได้ ซึ่งตอนนี้ มีหลายแอพที่ช่วยตรวจสอบไวรัสบนมือถือคุณได้ เช่น  CM Security , Lookout , Avira , AVG , Norton , Avast , Sophos เป็นต้น

วิธีอัพเดต iOS 8 พร้อมลิงค์ตรงสำหรับดาวน์โหลดเฟริมแวร์

ios-8-logo

ในที่สุด Apple ก็ปล่อย iOS 8 ออกมาให้เหล่าสาวกสามารถอัพเดตไปใช้งานกันได้แล้วนะครับ ซึ่งในเวอร์ชั่นนี้มีการเพิ่มความสามารถใหม่ๆ เข้ามากมากมาย จัดเต็มมาก ใครยังไม่อัพแนะนำให้อัพเลย แล้วคุณจะรู้สึกเหมือนได้ไอโฟนเครื่องใหม่มาใช้เลยทีเดียว

ใครที่ติดตั้ง  iOS 8 GM (12A365) ไปแล้ว เป็นตัวเดียวกันไม่ต้องติดตั้งใหม่ก็ได้ครับ

วิธีการอัพเดตเป็น iOS 8

การอัพเดตแบบ OTA

คำเตือน เครื่องที่ทำการเจลเบรคอยู่ห้ามกดอัพเดตแบบ OTA โดยเด็ดขาด

วิธีนี้ง่ายและสะดวกที่สุด แต่สิ่งที่ควรระวังคือ ควรจะมีแบตเตอรี่มากกว่า 50% ขณะทำการอัพเกรตเพื่อป้องกันแบตเตอรี่หมดกลางคัน

ให้เข้าไปที่แอพฯ Settings >> General >> Software Update

IMG_9610  IMG_9611

โดยขนาดไฟล์แต่ละ Device จะเป็นไปตามนี้ครับ

  • iPad Air ขนาดไฟล์ 1.3GB ต้องมีพื้นที่เหลือขณะติดตั้งอย่างน้อย 6.9GB
  • iPhone 5s ขนาดไฟล์ 1.1GB ต้องมีพื้นที่เหลือขณะติดตั้งอย่างน้อย 5.6GB
  • iPhone 5 ขนาดไฟล์ 957MB ต้องมีพื้นที่เหลือขณะติดตั้งอย่างน้อย 4.6GB

หากอัพเดตผ่าน OTA แล้วเครื่องค้างอยู่ที่ Update Requested… ให้ทำการ Hard Reset ด้วยการกดปุ่ม Power+Home ค้างไว้จนเครื่องดับ แล้วเปิดเครื่องใหม่เข้าไปอัพเดตผ่าน Settings อีกครั้งหนึ่ง แต่ถ้ายังไม่ได้แนะนำให้อัพผ่าน iTunes แทนครับ

การอัพเดตผ่าน iTunes

สำหรับคนที่เจลเบรคและต้องการอัพเป็น iOS 8 ให้ใช้คำสั่ง Restore บน iTunes ในการอัพเป็น iOS 8

เมื่อเรานำไอโฟนมาเชื่อมต่อกับ iTunes จะมีให้อัพเดตขึ้นมาตามภาพ ให้เรากด Download and Update เท่านี้ก็เรียบร้อยครับ

แต่อย่างไรก็ตาม มีอีกวิธี เป็นวิธีที่ทางไทยแวร์ค่อนข้างแนะนำ คือให้เรากด Restore ไปเลย เพราะวิธีนี้ไม่ค่อยมีปัญหากวนใจตามมาหลังการอัพเดต เนื่องจากเป็น Clean Install เมื่อเรากด Restore โปรแกรม iTunes จะดาวน์โหลดเฟริมแวร์เวอร์ชั่นล่าสุดมา Restore ให้อัตโนมัติ

ก่อนทำการ Restore อย่าลืม Backup ข้อมูลก่อนนะครับ (ดูวิธี Backup ที่นี่)

2014-09-18_122522

สำหรับคนที่ดาวน์โหลดเฟริมแวร์ผ่าน iTunes แล้วรู้สึกความเร็วต่ำ ลองดาวน์โหลดลิงค์ตรงก็ได้ครับ ตามลิงค์ด้านล่างนี้ เมื่อดาวน์โหลดเสร็จให้เรากด Shift ค้างไว้ ก่อนกดปุ่ม Update หรือ Restore บน iTunes โปรแกรมจะให้เราเลือกไฟล์ .ipsw ที่เราดาวน์โหลดมาครับ

iPhone:

iPod touch:

เปรียบเทียบตัวต่อตัว iPhone 6 vs iPhone 6 Plus จะเล็กใหญ่กว่ากันแค่ไหน

แม้ว่าประเทศไทยของเราจะยังไม่ได้อยู่ในกลุ่มแรกของการเริ่มวางจำหน่าย iPhone 6 จาก Apple แต่ดูเหมือนว่า iPhone 6 และ iPhone 6 Plus เครื่อง หิ้วนั้นเริ่มถูกนำมาวางจหน่ายในมาบุญครองกันบ้างแล้ว ซึ่งหนึ่งในคำถามจากข้อสงสัยของใครหลายๆคนที่ถามเข้ามากันมาว่า iPhone 6 และ iPhone 6 Plus นั้น เมื่อนำมาเปรียบเทียบกันแล้วจะมีขนาดที่แตกต่างกันอย่างไรบ้าง วันนี้ทางทีมงาน @flashfly จึงขอนำการเปรียบเทียบขนาดของ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ให้ได้เห็นกันไปเลยว่า iPhone ทั้งสองรุ่นนี้จะแตกต่างกันอย่างไรบ้าง

iPhone-6-Compare-vs-iPhone-6-Plus-01

หน้าจอ iPhone 6 ขนาด 4.7 นิ้วความละเอียด 1334 x 750 พิกเซลที่ 326 ppi อัตราส่วนคอนทราสต์ 1400:1 (ทั่วไป) ส่วน iPhone 6 Plus หน้าจอ 5.5 นิ้วความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซลที่ 401 ppi อัตราส่วนคอนทราสต์ 1300:1 (ทั่วไป) ทั้ง 2 รุ่นมีพิกเซลแบบ Dual-domain เพื่อการมองในมุมที่กว้างขึ้น

iPhone-6-Compare-vs-iPhone-6-Plus-02

ด้านหลัง iPhone 6 และ iPhone 6 Plus มาพร้อมกล้องดิจิตอลความละเอียด 8 ล้านพิกเซลเลนส์ 5 ชิ้น แบบออโต้โฟกัสพร้อม Focus Pixels แฟลช True Tone โดยใน iPhone 6 Plus จะมีระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคอล (OIS) ติดตั้งมาด้วย

iPhone-6-Compare-vs-iPhone-6-Plus-03

ด้านข้าง iPhone 6 บาง 6.9 มม. ส่วน iPhone 6 Plus บาง 7.1 มม.

iPhone-6-Compare-vs-iPhone-6-Plus-04

ด้านบนไม่มีปุ่ม Power แล้ว ย้ายไปอยู่ทางขวาแทน

iPhone-6-Compare-vs-iPhone-6-Plus-05

ปุ่มเพิ่มลดเสียงที่ออกแบบใหม่

iPhone-6-Compare-vs-iPhone-6-Plus-06

ตำแหน่งการวางจะเหมือนกันหมดแต่ต่างกันเพียงขนาดเท่านั้น

iPhone-6-Compare-vs-iPhone-6-Plus-07

ด้านน้ำหนักตัวเครื่อง iPhone 6 หนัก 129 กรัมส่วน iPhone 6 Plus หนัก 172 กรัม

iPhone-6-Plus-GraySpace-Preview-HandsOn-flashfly-12

iPhone 6 Plus สามารถใช้หน้าจอแนวนอนได้แบบ iPad ส่วน iPhone 6 ไม่สามารถทำได้

iPhone-6-Compare-vs-iPhone-6-Plus-10

สรุปความแตกต่างของทั้ง 2 รุ่นอยู่ที่ลักษณะการใช้งานซึ่งดูจากยอดจำหน่ายแล้วพบว่า iPhone 6 ได้รับความนิยมสูงกว่า iPhone 6 Plus มากน้องจากตัวเครื่องมีขนาดพอเหมาะในการพกพามากกว่า ส่วน  iPhone 6 Plus ได้ออกมาเอาใจกลุ่มที่ชอบใช้งานหน้าจอขนาดใหญ่และไม่ต้องการพกอุปกรณ์ติดไป หลายๆเครื่อง แน่นอนว่าราคาก็ยังสูงกว่า iPhone 6 อีกด้วยนั่นเอง แต่ถ้าเทียบสเปคแล้ว iPhone 6 Plus จะดีกว่า iPhone 6  เล็กน้อยทั้งความละเอียดหน้าจอที่เป็น Full HD ระบบ OIS ที่กล้องถ่ายรูปและการใช้งานหน้าจอแนวนอน แน่นอนว่าถ้าใช้ iPad เป็นประจำอยู่แล้วก็ตัดออกไปได้เลย

WordPress คืออะไร?

WordPress คือ โปรแกรมชนิดหนึ่งที่มีระบบในการช่วยจัดการเนื้อหาบนเว็บ ได้อย่างง่ายดาย หรือที่หลายๆ คนใช้คำว่า Contents Management System(CMS)ซึ่งจริงๆ แล้ว โปรแกรมประเภท CMS มีเยอะแยะ อย่างเช่น PHP Nuke, Joomla, Mambo, OScommerce, Magento เป็นต้น  WordPress เป็น CMS ประเภท Blog  ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยภาษา PHP และทำงานบนฐานข้อมูล MySQL ภายในสัญญาอนุญาตใช้งานแบบ General Public License (GNU) มีเวปไซต์หลักอยู่ที่ http://www.wordpress.org  และมี free hosting สำหรับขอรับบริการฟรีที่  http://www.wordpress.com  WordPress เป็นโปรแกรมที่ใช้งานง่าย สำหรับคนที่ต้องการมีบล็อกส่วนตัว เป็นที่โปรแกรมที่นิยมกันทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทยเราด้วยเช่นกันครับ นอกจากการติดตั้งง่ายแล้ว WordPress ?ยังมีข้อดีก็คือ เราสามารถหาดาวน์โหลดธีม (Themes) หรือหน้าตาของเว็บ?รูปแบบต่างๆ

10 ขั้นตอนในการใช้คอมพิวเตอร์อย่างมีประสิทธิภาพ

1.รู้จักเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเอง
เราสามารถดูรายละเอียดเกี่ยวกับเครื่องของเราว่าอุปกรณ์อะไร รายละเอียดเป็นอย่างไร ได้ โดยดูที่ System Properties โดยคลิ๊กเม้าปุ่มขวาที่ My computer เลือก 1. Properties จะปรากฏ System Propeties ขึ้นมา ให้เราคลิ๊กที่ Tab Device Manager เราสามารถดูรายละเอียดเกี่ยวกับอุปกรณ์ภายในเครื่องของเราได้ ถ้าเรามีเครื่องพิมพ์ ก็สั่งพิมพ์มาเก็บไว้เลยจะเป็นการดีที่สุดป้องกันการลืม

2.สร้างแผ่นบู๊ตฉุกเฉินขึ้นมา

เมื่อเราเครื่องของเรามีปัญหาไม่สามารถบู๊ตเครื่องจากฮาร์ดดิสก์ได้ เราก็ยังจะสามารถบู๊ตจากแผ่นบู๊ตฉุกเฉินที่เราสร้างขึ้นเอาไว้ได้ โดยไปที่

1. เลือกเมนู Start

2. เลือก Setting

3. เลือก Control Panel

4. กดดับเบิ้ลคลิ๊กไอคอน Add remove programs

5. ให้เลือกคลิ๊กที่ Tab Startup Disk แล้วใส่ แผ่น floppy disk ที่ทำการ format แล้วใน dirve a:

6. แล้วคลิ๊กที่ปุ่ม Create Disk หลังจากเครื่องทำการสร้างแผ่นบูตเสร็จเรียบร้อย เราก็จะได้แผ่นบู๊ตฉุกเฉินขึ้นมาแล้ว

3. ปรับแต่งฮาร์ดดิสก์อย่างสม่ำเสมอ

เพราะฮาร์ดดิสก์เป็นที่ที่เก็บแอปพิลเคชั่นไว้อย่างถาวร และที่สำคัญมากคือไฟล์ข้อมูลที่สร้างด้วยแอพพลิเคชั่นเหล่านั้น

ดัง นั้นฮาร์ดดิสก์จึงจำเป็นต้องระมัดระวังอย่างพิเศษเพื่อรักษามันให้ปฏิบัตการ ได้ที่ประสิทธิภาพสูงสุด การสแกนดิสก์ เพื่อหาไฟล์ที่สูญหาย (Lost) และเซ็กเตอร์ที่เสียหาย (bad sector) จะช่วยป้องกันปัญหาของดิสก์ทั้งหมดก่อน ที่จะเกิดขึ้น ในขณะที่การ Defragment จะช่วยจัดเรียงไฟล์ที่แตกกระจัดกระจาย ให้เป็นระเบียบขึ้น

วิธีการสแกนดิสก์ทำได้ดังนี้

1. เลือกเมนู Start

2. เลือก Program

3. เลือก Accesorry

4. เลือก System Tools

5. เลือก Scan Disk

4. วางแผนในการเก็บรักษา

การเก็บรักษาไฟล์ข้อมูลในโฟล์เดอร์เราจะต้องเก็บรักษาให้อยู่ในส่วนที่ค้นหา ง่ายและมีชื่อที่สามารถจดจำได้ง่าย จะช่วยลดความเสี่ยงที่เราจะลบโปรแกรมหรือข้อมูลเหล่านั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ อีกทั้งฮาร์ดดิสก์ที่มีการบริหารรวบรวมที่ดีจะสามารถทำ การแบ๊กอัปสำรองข้อมูลได้ง่ายกว่าและเร็วกว่า และไฟล์ไหนที่เราไม่ได้ใช้เป็นเวลาอย่างน้อย 2 เดือน ควรจะลบไฟล์นั้นออกไป เพราะ ดิสก์ที่ใส่ข้อมูลมากๆ จนเกือบเต็มความจุของมันมักมีแนวโน้มที่จะเกิดความผิดพลาดได้มากกว่า และช้ากว่าฮาร์ดดิสก์ที่ไม่ได้ใส่ข้อมูลจนแน่น

5. สำรองข้อมูลที่มีค่าเอาไว้

การแบ็กอัปไฟล์ของเรามีความหมายง่ายๆ ก็คือเป็นการทำสำเนาเผื่อเอาไว้ ถ้าต้นฉบับถูกทำให้สูญหายหรือเสียหายไป เราก็ยังสามารถนำเอาสำเนามาใช้ได้ เราสามารถแบ็กอัปฮาร์ดดิสก์ไปยัง Floppy disk หรือ Zip disk ได้ ถ้าเราทำธุรกิจมีข้อมูลที่สำคัญมากๆ เช่น ข้อมูลของสินค้า ข้อมูลลูกค้า ข้อมูลด้านบัญชี

มูล บุคคล เราควรจะแบ๊กอัปมันทุกๆวันเป็นมาตรฐานเอาไว้ แต่ถ้าเราเป้นผู้ใช้ตามบ้าน ก็ควรจะการแบ็กอัปไฟล์หนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ และทำการแบ๊กอัป ทั้งระบบอย่างสมบูรณ์ทุกๆ 6 เดือน โดยเราสามารถใช้โปรแกรม Backup ดังนี้

1. เลือกเมนู Start

2. เลือก Program

3. เลือก Accesorry

4. เลือก System Tools

5. เลือก Backup

โปรแกรมนี้จะอนุญาติให้เราตรวจเลือกโฟลเดอร์ที่ต้องการจะแบ๊กอัป

6. ป้องกันไวรัส

แม้ว่าไวรัสคอมพิวเตอร์ที่สามารถสร้างความเสียหายให้กับเครื่องและข้อมูลของเรา ได้ ซึ่งในบางครั้งก็ดูออกจะเป็นเรื่องตื่นตระหนกจนเกินเหตุ แต่ความเป็นจริงแล้วไวรัสไม่สามารถที่จะทำอันตรายให้กับเครื่องและข้อมูลของ เราได้ ถ้าหากเราไม่ได้สั่งให้มันทำงาน (execute) ไวรัสนั้นติดมาได้ 2 ทาง คือ

1. จากแผ่นดิสก์อื่นที่เรานำมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นที่เรายืมหรือก๊อปปี้ของเพื่อนมา หรือ แผ่นcd เถื่อนที่เราซื้อมาจากพันธุ์ทิพย์

2. จากอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมที่เราดาว์นโหลดมา หรือ ไวรัสที่ส่งมากับอีเมล์ วิธีป้องกันที่ดีที่สุด คือเราต้องไม่นำมาใช้ หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ให้เราหาโปรแกรมสำหรับสแกนไวรัสมาสแกนไวรัสก่อนที่จะนำมาใช้ ยกตัวอย่างเช่น McAfee”s VirusScan Norton AntinVirus หรือ Pc-cillin

แต่ ในบางครั้งไวรัสตัวนั้นอาจเป็นไวรัสชนิดใหม่ที่โปรแกรมเหล่านั้นยังไม่ สามารถตรวจสอบได้ เราก็จำเป็นต้องไปดาวน์โหลดโปรแกรมสแกนไวรัสเวอร์ชั่นใหม่ ๆ มาใช้งานจากเวบไซด์เหล่านั้น

7. ติดตั้งโปรแกรมไว้ที่เดิม

เมื่อเราได้ติดตั้งโปรแกรมลงบนระบบของ window95 แล้วอย่าได้เปลี่ยนชื่อไดเร็กทอรี่ของโปรแกรมหรืออย่าได้ย้ายไฟล์ของมันจาก ที่ที่มันอยู่ไปไว้ที่อื่นๆ บนฮาร์ดดิสก์ของเรา มิฉะนั้นคอมพิวเตอร์จะหาแทร็กของคีย์ไฟล์ไม่เจอ ถ้าเราจะทำการลบ (delete) หรือยกเลิกการติดตั้ง (uninstall)

วิธีการลบ (delete) หรือยกเลิกการติดตั้งที่ถูกวิธีทำได้ดังนี้

1. เลือกเมนู Start

2. เลือก Control Panel

3. กดดับเบิ้ลคลิ๊กที่ Add/Remove Programs

4. เลือกโปรแกรมที่เราต้องการจะลบ หรือ ยกเลิกการติดตั้ง

5. กดปุ่ม Add/Remove

หลัง จากกดปุ่ม Add/Remove แล้วจะปรากฏหน้าต่างการยกเลิกการติดตั้งให้ แต่มีบางไฟล์หรือบางกรณีที่จะต้อง ใช้คำสั่งลบออกได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องผ่านการลบด้วยกรรมวิธีขั้นต้น สามารถเข้าไปลบไฟล์เหล่านั้นได้เลย

8. ใช้แต่ของใหม่เสมอ

อุปกรณ์ ต่างๆ ที่เป็นส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์จะมีโปรแกรมไดว์เวอร์ (driver) เพื่อพูดคุยติดต่อระหว่าง window95 กับ ฮาร์ดแวร์ของเรา จะเป็นการดีถ้าเราสามารถอัปเดตโปรแกรมไดว์เวอร์เหล่านั้นให้ทันสมัยอยู่ตลอด เวลา เพื่อให้คอมพิวเตอร์ของเราทำงานได้เต็มประสิทธิภาพคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป

9. รักษาเครื่องคอมพิวเตอร์ให้สะอาดอยู่เสมอ

ฝุ่นสามารถทำให้ชิปภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราร้อนขึ้นมามากกว่าธรรมดาและยัง เป็นตัวขัดขวางการไหลเวียนระบายความร้อนของอากาศอีกด้วย อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้งให้เราถอดปลั๊กต่างๆ และเปิดฝาเครื่องขึ้นมา และเป่าฝุ่นออก อย่าเช็ดด้วยเศษผ้า ให้ใช้ปากเป่าหรือกระป๋องอัดลมสำหรับฉีดลมอย่างใดอย่างหนึ่งในการเป่าฝุ่น

10. ปิดเครื่องด้วยวิธีการที่ถูกต้อง

เมื่อใดก็ตามที่เสร็จการทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วจะเลิกการใช้งานเครื่อง คอมพิวเตอร์ อย่าได้ปิดเครื่องเลยทันที เพราะเครื่องคอมพิวเตอร์มีการเก็บหน่วนความจำแคช ปิดไฟล์ และ เซฟข้อมูลคอนฟิกคูเรชั่นต่างๆ ก่อนที่เราจะปิดเครื่อง

ทำความรู้จักสายแลนประเภทต่างๆ

สายแลนคืออะไร


สายที่ใช้สำหรับการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์ที่เรียกว่า Switch หรือ HUB (แต่เราสามารถเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์ได้ด้วยเช่นกัน) สายแลนมีอยู่หลายประเภท แต่ละประเภทจะมีความสามารถในการรับ-ส่งสัญญาณแตกต่างกันออกไป สำหรับปัจจุบันสายแลนที่นิยมใช้กันมากคือ UTP (UNSHIELD TWISTED PAIR) คือ สายตีเกลียวที่ไม่มีตัวป้องกัน ส่วนหัวที่ใช้ในการเชื่อมต่อสายแลนเรียกว่า RJ45

ประเภทของสาย UTP
1. UTP CAT5 คือ สายแลน ที่เป็นสายทองแดงที่มีความเร็วที่ต่ำ ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 100 Mbps (ไม่เป็นที่นิยมใช้กันแล้ว)
2. UTP CAT5e คือ สายแลนที่เป็นสายทองแดงที่มีความเร็วที่ต่ำ ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 1 Gpbs
3. UTP CAT6 คือ สายแลนที่เป็นสายทองแดงที่มีความเร็วที่ต่ำ ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 10 Gpbs BANWIDTH อยู่ที่ 250MHz
4. UTP CAT7 คือ สายแลนที่เป็นสายทองแดงที่มีความเร็วที่ต่ำ ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 10 Gpbs BANWIDTH อยู่ที่ 600MHz

ทิปการเลือกซื้อ การเลือกสายแลนเพื่อนำมาใช้ แนะนำให้เลือกควบคู่กับอุปกรณ์ Switch หรือ HUB ด้วย (Switch ส่วนใหญ่ในปัจุจบันมีความเร็ว 10/100/1000 Mbps) เพราะเป็นอุปกรณ์ที่ต้องใช้เชื่อมต่อกันตลอดเวลา สำหรับประเภทของสายแลนขั้นต่ำทีเราเลือกซื้อคือ UTP CAT5e หรือ UTP CAT6 ส่วนสาย UTP CAT7 ยังไม่เป็นที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน

8 วิธีถนอมสายตาเมื่ออยู่หน้าคอม

1. เลือกจอภาพที่มีการกระจายรังสีต่ำเพื่อถนอมสายตา  วิธีทดสอบแบบง่ายๆ  ทำโดยการปิดสวิตช์ภาพ  แล้วเอาหรือแขนไปจ่อไว้ไกล้ๆ  จอภาพให้มากที่สุด  ซึ่งจอภาพที่มีการกระจายรังสีต่ำจะแทบไม่รู้สึกถึงไฟฟ้าสถิตตามขนที่บริเวณผิวเลย

2. ปรับแสงและความคมชัดหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้รู้สึกสบายตาให้มากที่สุด  รวมทั้งความสว่างภายในห้องเราด้วย  เพราะหากทำงานกับคอมพิวเตอร์ในสภาพแวดล้อมที่มีแสงจ้า  และจอภาพมีความสว่างมาก  ก็ยิ่งสงผลเสียต่ดวงตาได้ง่ายขึ้น

3. ตำแหน่งของจอภาพควรห่างจากดวงตาพอประมาณ  18-24 นิ้วหรือประมาณช่วงแขนเอื้อม  และปรับระดับให้ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 15-20 องศา  ซึ่งหากระยะห่างระหว่างตากับจอภาพไม่สัมพันธ์กันอาจทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าและปวดตาได้ง่าย

4. ควรใส่แผ่นกรองรังสีติดไว้ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์  เพื่อเป็นการช่วยกระจายรังสีจากคอมพิวเตอร์สู่สายตา  ที่สำคัญควรเลือกแบที่มีคุณภาพและเชื่อถือได้

5. ทำความสะอาดหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่เสมอ  เพราะฝุ่นละอองอาจะทำให้เกิดการสะท้อนมากยิ่งขึ้น

6. การหยุดพักหรือการเปลี่ยนแปลงตารางการทำงานซะใหม่  จะช่วยให้สายตาคลายความเมื่อยล้าจากการจ้องหรือเพ่งคอมพิวเตอร์ได้  เช่น  หยุดพักสายตาครั้งละ 15 นาที  ทุกๆ 2 ชั่วโมง  แล้วค่อยเริ่มการทำงานต่อไป  ก็จะช่วยให้ถนอมสายตาได้

7. ใช้ผ้าซุปน้ำหมาดๆ  วางไว้บนเปลือกตา  และหลับตาสัก 2-3 นาที  หรือจะให้ดีกว่านั้น  ปิดไฟ  นอนพะสักครู่  เพื่อเป็นการซาร์ตพลังงายให้กลับสายตามาแข็งแรงอีกครั้ง

8.สำหรับคนที่ใส่คอนแทคเลนส์  แจจะเกิดการตาแห้งเพราะห้องที่มีคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่มักจะเป็นห้องห้องแอร์  เมื่อบวกกับความร้อนจากเครื่องคอมพิวเตอร์    จะทำให้อากาศแห้ง  การหยดน้ำตาเทียมก็จะช่วยให้ตากลับมาสดชื่นอีกครั้งได้

ดูแล Tablet อย่างไรให้อยู่กับเราไปนานๆ?

ข่าวดีสำหรับผู้ใช้แท็บเล็ตก็คือ มันไม่ต้องการดูแลเท่ากับคอมพิวเตอร์ที่ต้องมีรอบการดูแลบำรุงรักษาให้มันมีประสิทธิภาพการทำงานที่รวดเร็ว และแข็งแรงอยู่เสมอ เนื่องจากแท็บเล็ตใช้หน่วยความจำแฟลช ในขณะที่โน้ตบุ๊ก และคอมพิวเตอร์ใช้ฮาร์ดดิสก์ ซึ่งต้องมีการจัดระเบียบข้อมูลอยู่เป็นประจำ หากไม่ดูแลจัดการเรื่องนี้ เมื่อใช้งานไปเรื่อยๆ ระบบการทำงานจะช้าลงอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ระบบปฏิบัติการบนแท็บเล็ตส่วนใหญ่จะจัดการล้างไฟล์ชั่วคราวออกจากสตอเรจเองโดยอัตโนมัติ โดยที่ผู้ใช้เองยังไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว ผู้ใช้ควรดูแลเรื่องอะไรบ้าง? เพื่อให้แท็บเล็ตอยู่กับเรานานๆ และใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ คำแนะนำมีดังนี้ครับ

ลบแอพพลิเคชันที่ไม่ใช้ออกไป: แม้แอพพลิเคชันที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว จะไม่ส่งผลกระทบต่อความเร็วในการทำงานของแท็บเล็ตโดยตรง แต่พวกมันทำให้พื้นที่ของสตอเรจลดลง ดังนั้นหากคุณผู้อ่านเว็บไซต์ arip พบว่า แอพฯ บางตัวบนแท็บเล็ตไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้อีกต่อไปแล้ว แนะนำให้ถอดถอนการติดตั้ง (uninstall) ออกไปจากเครื่องซะจะดีกว่าครับ

ทำความสะอาดเครื่อง: หน้าจอสัมผัสที่เป็นกระจกแก้วสามารถทำความสะอาดได้อย่างง่ายดายด้วยผ้าเช็ดไมโครไฟเบอร์ และน้ำยาเข็ดหน้าจอ LCD นอกจากนี้ คุณต้องไม่ลืมส่วนทีมักจะถูกละเลยในการทำความสะอาดอยู่เป็นประจำอย่างเช่น พอร์ตเชื่อมต่อ ด็อคกิ้ง และช่องเสียบหูฟัง การใช้แปรงทำความสะอาดที่พ่นลมออกมาได้จะเป็นแบบสเปรย์ หรือลูกยางที่ใช้บีบก็ได้ ด้วยวิธีนี้มันจะช่วยเป่าสิ่งสกปรก หรือเศษฝุ่นชิ้นเล็กๆ ที่ติดอยู่ในพอร์ตให้หลุดออกมาได้ นอกจากนี้ คุณอาจจะใช้เทปใสในการกำจัดคราบ หรือสิ่งสกปรกที่อยู่รอบๆ ปุ่มต่างๆ ของแท็บเล็ตได้อีกด้วย

อย่าปล่อยให้แบตฯ หมดโดยไม่ถูกชาร์จนานเกินไป: แบตเตอรี่ทีใช้ในแท็บเล็ตส่วนใหญ่จะเสื่อมประสิทธิภาพได้หากปล่อยให้มันมีระดับของประจุไฟฟ้าทีอยู่ภายในต่ำเกินไป หากคุณมีโอกาสที่จะไม่ได้ใช้แท็บเล็ตเป็นเวลานาน ควรจะแน่ใจว่า มันมีแบตฯ อยู่อย่างน้อย 50% ตอนที่ปิดเครื่อง (turn off ไม่ใช่ standby นะครับ)

สำหรับแท็บเล็ต Android ควรจะต้อง… : ระวังเรื่องเกี่ยวกับการติด”มัลแวร์” และ “ไวรัส” ให้มากๆ ดังนั้น ผู้ใช้แท็บเล็ตแอนดรอยด์ควรจะติดตั้ง และรันแอพพลิเคชันสแกนไวรัสไว้ในเครื่องด้วย ตัวเลือกสำหรับคนชอบของฟรีที่นิยมใช้กันพอสมควรก็จะมี AVG Antivirus Free for Android ดาวน์โหลดได้ที่ Google Play Store.

หวังว่า คำแนะนำข้างต้นคงจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านเว็บไซต์ arip ทีใช้แท็บเล็ตกันถ้วนหน้า ขอให้ทุกท่านโชคดี และมีความสุขสนุกกับการใช้แท็บเล็ตกันไปได้อีกนานๆ นะครับ แล้วพบกันใหม่เมื่อชาติต้องการ

6 ข้อควรรู้ เรื่องการโพสต์ภาพบน Twitter

เพราะต้องการให้ได้รับประสบการณ์โซเชียลยิ่งขึ้นผ่านการชมภาพบนทวิตเตอร์ (Twitter) เครือข่ายสังคมข้อความสั้นจึงเปิดตัวคุณสมบัติใหม่ล่าสุดเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเพิ่มภาพ 4 ภาพในข้อความทวีตเดียวกัน โดยสามารถติดป้ายชื่อหรือแท็ก (tag) ผู้ใช้รายอื่นมากกว่า 10 คนในภาพเดียว ต่อไปนี้คือ 4 ข้อมูลที่ชาวทวิตเตอร์ควรรู้เพื่อจะได้ไม่ต้องข้องใจกับความสามารถใหม่ล่าสุดด้านภาพของทวิตเตอร์อีกต่อไป

1 tag ไม่นับเป็นข้อความ – ข้อแรกที่ชาวทวิตเตอร์ควรรู้คือ การติด tag ผู้ใช้จะไม่มีผลต่อการนับจำนวนตัวอักษรในข้อความทวีต (tweet) โดยทวิตเตอร์ระบุว่าหากผู้ใช้ติด tag เพื่อนครบจำนวน 10 คนในภาพแล้ว ก็จะยังสามารถพิมพ์ข้อความ 140 ตัวอักษรได้เช่นเดิม

2 ติด tag ง่ายจริง – การ tag เพื่อนในรูปภาพบนทวิตเตอร์จะมีลักษณะเดียวกับการ tag เพื่อนในภาพของบริการเฟซบุ๊ก (Facebook) เมื่อภาพถูกอัปโหลด ผู้อัปโหลดจะพบข้อความถามว่า “Who’s in this photo” เพื่อตอบว่าใครอยู่ในภาพนี้บ้าง ผู้ใช้สามารถคลิกเพื่อติดชื่อเพื่อนลงในภาพ

เมื่ออัปโหลดภาพ ผู้ใช้จะพบข้อความถามว่า “Who’s in this photo” ผู้ใช้สามารถคลิกเพื่อติด tag
เพื่อตอบว่าใครอยู่ในภาพนี้บ้าง

3 ปิดได้ใครห้าม tag – หากคุณคือผู้ที่ถูกเลือก หรือเป็นหนึ่งในบุคคลที่ถูกติด tag คุณจะได้รับการแจ้งเตือนหรือ notification จุดนี้ผู้ใช้ทุกคนสามารถจัดการเงื่อนไขของการแจ้งเตือน notification ได้ รวมถึงตั้งค่าว่าใครสามารถติด tag เชื่อตัวเองได้บ้าง โดยจะสามารถตั้งค่าผ่านเมนู Settings

4 ทวีตเดียวหลายภาพ – นอกจากการ tag รูป ทวิตเตอร์ยังเปิดเสรีให้ผู้ใช้สามารถโพสต์หลายภาพในการทวีตครั้งเดียว (จากเดิม ผู้ใช้ถูกกำหนดให้โพสต์ได้เพียง 1 ภาพต่อ 1 ข้อความทวีต) จุดนี้ทวิตเตอร์ระบุว่าการจับกลุ่มภาพที่โพสต์ 4 ภาพเป็นกลุ่มเดียวกันนั้นจะเกิดขึ้นแบบอัตโนมัติ โดยทุกคนสามารถเปิดชมภาพใหญ่และเลื่อนชมได้ทุกภาพ

ทวิตเตอร์ระบุว่าการจับกลุ่มภาพที่โพสต์ 4 ภาพเป็นกลุ่มเดียวกันนั้นจะเกิดขึ้นแบบอัตโนมัติ

5 ประเดิมที่ไอโฟน – ความสามารถในการอัปโหลดหลายภาพพร้อมกันบน Twitter ถูกประเดิมให้ผู้ใช้แอปพลิเคชัน Twitter for iPhone บนไอโฟนได้ใช้งานก่อน ขณะที่ผู้ใช้แอปพลิเคชันแอนดรอยด์ (Android) และทางเว็บไซต์ twitter.com จะสามารถใช้งานในเร็วๆนี้

6 รองรับ Embedded tweet – เป็นเรื่องน่ายินดีที่ทวิตเตอร์ยืนยันว่าทั้งคุณสมบัติติด tag ภาพและข้อความทวีตที่หลายภาพประกอบนั้นจะสามารถแสดงผลใน Embedded tweet หรือข้อความทวีตที่ถูกนำไปฝังหรือติดโค้ดตามเว็บไซต์ต่างๆด้วย จุดนี้ทำให้การส่งต่อเนื้อหาบน Twitter ผ่านโลกออนไลน์ทำได้อย่างสะดวกกว่าเดิม

ลักษณะการฝังหรือติดโค้ดของ Embedded tweet ซึ่งจะสามารถแสดงผล 2 คุณสมบัติใหม่จาก Twitter ด้วย